คนเราทุกวันนี้รอบกายมีแต่สารพิษเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เชื่อว่าทุกๆ คนก็คงเห็นด้วย เพราะตั้งแต่ตื่นนอนลืมตามาเราจะพบว่าสารพิษมากมายรายล้อมอยู่รอบตัวเรา ปนอยู่ในผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ อาหาร น้ำ เครื่องดื่ม แม้แต่อากาศ รอบๆ ตัวล้วนแต่สามารถบอกได้ว่ามีสิ่งที่เป็นพิษเจือปนอยู่ด้วยทั้งนั้น
อาหารที่รับประทานก็มีการปรุงแต่งด้วยสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นผงชูรส สารกันบูด สารทำให้กรอบ สารให้สี สารปรุงรส เครื่องดื่มก็ไม่ต่างกัน
อากาศก็เต็มไปด้วยมลพิษ ยิ่งคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ ใช้ชีวิตท่ามกลางความเจริญยิ่งมีโอกาสสัมผัสสารพิษมาก

ดังนั้นการหาทางขับหรือล้างสารพิษออกจากร่างกายบ้างจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น ซึ่งเราเรียกการล้างพิษเหล่านี้ว่า “ดีท็อกซ์” ซึ่งการทำ ดีท็อกนี้ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่การล้างสวนลำไส้ให้ถ่ายออกมาเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ผลไม้หรือสมุนไพรในการรับประทานเพื่อให้ชะล้างขับสารพิษในร่างกายออกมาได้อีกด้วย

ยอดสมุนไพรล้างสารพิษ 

  1. ตรีผลา ขับสารพิษ(ดีทอกซ์) และขับไขมันออกจากร่างกาย อีกทั้งยังบำรุงการทำงานของลำไส้ให้ดีขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์กลับมาอีกครั้ง

  1. รางจืด หากจะพูดถึงสมุนไพรขับพิษหากเว้นไม่พูดถึงรางจืดก็คงไม่ครบเครื่อง เพราะเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแก้พิษถอนพิษเบื่อเมาที่มีใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ สามารถขจัดพิษจากสารเคมี ยาเบื่อ ยาฆ่าแมลงต่างๆ รวมไปถึงพิษสะสมคั่งค้างของผู้ดื่มสุราเป็นประจำได้อีกด้วย

  1. จตุผลาธิกะ นอกจากจะช่วยขับ ของเสีย Detox ล้างพิษ ขับเมือกมันในลำไส้ ซึ่งเป็น สาเหตุหลัก ที่ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่ ยังมีสาร Anti- Oxidant สารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอความชรา ทำให้ผิวพรรณสดใส ลดสภาวะเสี่ยงของการเป็น มะเร็งอีกด้วย

  1. ฝักมะขามแขก ช่วยลดอาการท้องผูก เป็นยาระบาย อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการช่วยถ่ายพิษไข้ ขับของเสียและลมในลำไส้ และยังช่วยในการรักษาริดสีดวงทวารอีกด้วย

  1. ส้มแขก ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ยับยั้งการอยากอาหาร และช่วยลด Cholesterol ทำให้รูปร่างสมส่วน นอกจากนี้ สาร HCA ในส้มแขก จะขับของเสียที่หมักหมกอยู่ในร่างกายออกมา ทำให้ช่วยควบคุมน้ำหนัก ไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่เรียกว่าYO–YO EFFECT

เหล่านี้เป็นสมุนไพรที่เราสามารถหาได้รอบๆ ตัว ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขับชะล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายให้ถูกขจัดออกไป ดังนั้นจึงควรมีการรับประทานเป็นประจำ เนื่องจากเรารู้กันดีอยู่แล้วว่ารอบตัวเรานั้นมันมีสารพิษปนเปื้อนอยู่มากแค่ไหน


อาการนอนไม่หลับ ถือเป็นอาการที่ทรมานมาก หากใครเคยมีอาการนี้ คงทราบดีถึงความรู้สึกอึดอัดกระวนกระวาย การนอนไม่หลับยังส่งผลต่อสุภาพ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตอีกด้วย มีรายงานว่า คนที่นอนไม่หลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยด้วยอาการ โรคเครียดโรคซึมเศร้าสูงกว่าคนทั่วไป และยังมีโอกาสที่จะเกิดอาการโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตและหลอดเลือด ตลอดจนถึงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านม สูงอีกด้วย ไม่นับโรคอ้วน สิวขึ้น ไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน และการตัดสินใจที่ผิดพลาดต่างๆ อีก จะเห็นได้ว่าการนอนไม่หลับถือเป็นภัยร้ายที่น่าหวาดกลัว แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าปัจจุบันมีผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความเครียด หรือ การพยายามอดนอนเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ทางที่ดีที่สุดเราควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่

แต่เมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับแล้ว เราก็ต้องมาหาวิธีแก้ไข ซึ่งการใช้ยา เป็นทางเลือกที่ได้ผล แต่ไม่ควรใช้เนื่องจากมีผลข้างเคียงมากและเป็นอันตราย ยาสมุนไพร เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยให้นอนหลับสบายได้ และมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่ามีความปลอดภัยมากกว่า

สมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับมีหลายชนิด อาทิเช่น

  1. ใช้เม็ดชุมเห็ด ประมาณ 10 กรัม นำมาคั่วให้สุกเกรียม ต้มกับน้ำประมาณ 1 ลิตร ด้วยไฟอ่อน จนน้ำงวดเหลือประมาณ 800 มิลลิลิตร ก็ยกขึ้นกรองกากออก ดื่มวันละ 4 ครั้ง คือ หลังอาหารเช้า กลางวัน เย็นและก่อนนอน
  2. ใบขี้เหล็ก เป็นที่รู้กันมานานว่าใบขี้เหล็กทำให้หลับสบายนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ทำให้ประสาทผ่อนคลาย หรือจะใช้ใบแห้ง ชงเป็นชาดื่มก็ได้
  3.  มะรุม เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยในการช่วยลดความเครียด สมัยก่อนนิยมนำมาทำเป็นอาหารที่ให้ผลทางยา ปัจจุบันนิยมใช้ใบมะรุมบดเป็นผงบรรจุแคปซูลรับประทาน ทำให้นอนหลับสนิท และมีผลช่วยในการขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วยแต่ต้องระวังใช้เฉพาะยอดกับใบอ่อนเท่านั้น
  4. ดอกไม้จีน มีตำรายาจีนกล่าวถึงวิธีใช้ว่าใช้ดอกไม้จีนแห้ง ประมาณ 15 กรัม ต้มในน้ำ 1 ถ้วย เติมน้ำตาลกรวดพอหวาน ใช้ดื่มก่อนนอนทำให้นอนหลับสบาย
  5. ชาสมุนไพรดอกคาโมไมล์ เป็นพืชสมุนไพรจากต่างประเทศมีสรรพคุณทำให้จิตใจสงบ ทำให้หลับง่าย

นี่เป็นตัวอย่างพืชสมันไพรที่สามารถช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น และเพื่อให้ได้ผล เราควรมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายต้องการพักผ่อน รวมทั้งควรพยายามทำใจให้สงบ ปล่อยวางเรื่องความกังวลเสียบ้าง เพื่อที่จะได้นอนได้เต็มที่จะได้มีแรงลุกขึ้นมาต่อสู้ในวันต่อไป


ส้มแขก เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ถูกเอ่ยถึงบ่อยมากๆ ส่วนมากจะรู้จักสมุนไพรชนิดนี้ในฐานะตัวยาที่ใช้ลดความอ้วนไขมันส่วนเกินและเป็นยาระบาย ซึ่งบางคนก็สงสัยอยู่ว่าจริงๆ แล้วเมื่อทานส้มแขกเข้าไป น้ำหนักที่เห็นว่าลดลงนั้น มันเกิดจากการขับถ่ายของเสียและน้ำออกจากร่างกายเท่านั้น หรือเป็นสรรพคุณในเรื่องลดน้ำหนักกันแน่ ? สำหรับเรื่องนี้ส้มแขกช่วยในเรื่องการลดและขจัดไขมันได้จริงๆ และเป็นการออกฤทธิ์อย่างเป็นระบบเนื่องจากนอกจากมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ แล้ว ส้มแขกยังมีเอนไซน์ Hydroxycitric Acid ที่สามารถยับยั้งกระบวนการในการสร้างไขมันจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เร่งการทำงานของระบบเผาผลาญ และยังช่วยลดความรู้สึกอยากอาหารได้อีกด้วย

สรรพคุณของส้มแขก

เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้อาการท้องผูก ขับของเสียออกจากลำไส้ ลดความอยากอาหาร ดักจับแป้งและไขมันในอาหารที่รับประทานเข้าไป ช่วยการทำงานของระบบลำไส้ให้ดูดซึมและเคลื่อนเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยฟอกโลหิต บรรเทาอาการปวดท้อง

การนำส้มแขกมาใช้

ใช้ผลส้มแขกแห้ง มาต้มในน้ำเดือดประมาณ 10 นาที หากไม่ชอบรสเปรี้ยวสามารถเติมน้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้งและเกลือเล็กน้อย เพื่อให้มีรสกลมกล่อมดื่มง่ายขึ้น หรือจะใช้เป็นส้มแขกผงที่บรรจุเป็นแคปซูลส้มแขกมาก็ได้ทานได้ง่าย รับประทานก่อนอาหารทุกมื้อ


จากรายการวิทยุของ อ.สุทธิวัสส์ เมื่อ 13/12/55
ช่วงนีัอาจารย์อยากให้ดูแลเรื่อง หลอดน้ำเหลือง เพราะถ้าหลอดน้ำเหลืองของเราไม่สะอาด คนก็จะเป็นซีส, ตามคอ ตามต่อมน้ำเหลือง แถวเต้านม คนเป็นกันเยอะมาก ถ้าดูแลหลอดน้ำเหลืองให้สะอาดก็หายครับ

ส่วนผสม
ถัวแดง 500กรัม
ข้าวเย็นเหนือ 30กรัม
ข้าวเย็นใต้ 30กรัม

นำมาต้มรวมกัน พอถั่วแดงเปื่อย ก็ใส่น้ำตาลกรวดลงไปหน่อยเพื่อปรุงรสตามชอบ กินได้ทั้งน้ำและเนื้อ แต่เนื้อของข้าวเย็นเหนือ,ข้าวเย็นใต้ให้ตักออก กินเป็นประจำก็จะช่วยให้หลอดน้ำเหลืองดีขึ้น


คำว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ดูเป็นคำที่เข้ากันได้ดีกับพืชสมุนไพรที่ชื่อ “บอระเพ็ด” เนื่องจากมันเป็นพืชที่มีรสขมมาก แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นพืชสมุนไพรที่ถูกใช้เป็นยามาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีการนำมาใช้อย่างกว้างขวาง สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก ได้กินและได้ทั้งทา อย่างไรก็ตามด้วยรสที่จมมากในการรับประทานนิยมเอามาทำเป็นสมุนไพรแห้งและผสมกับอย่างอื่นเพื่อลดความขม เช่น การใช้บอระเพ็ดแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งรับประทานเป็นยาเม็ดลูกกลอน เป็นต้น

สรรพคุณของบอระเพ็ด

ใช้เป็นยาแก้ไข้ตัวร้อน แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ รักษาอาการโรคเบาหวานมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง ช่วยบำรุงหัวใจ แก้โรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย เสริมภูมิคุ้มกันทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย บำรุงธาตุ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และปัจจุบันยังมีการนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ แก้ผมแตกปลายและขจัดแบคทีเรียที่หนังศีรษะ และยังมีการนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวลดปัญหาสิวอีกด้วย

วิธีใช้บอระเพ็ด

นำบอระเพ็ดมาตากให้แห้งบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นก้อนเท่าเม็ดพุทรารับประทานเป็นยาลูกกลอน 3 เม็ด ก่อนอาหารเช้า นำไปแช่อิ่มรับประทาน เพื่อสลายความขม หรือนำไปปรุงยาตามสูตราต่างๆ

นำบอระเพ็ดบดผงบรรจุแคปซูล รับประทาน 3แคปซูล ก่อนอาหารเช้า-เย็น

ข้อควรระวัง

บอระเพ็ดมีฤทธิ์เย็นไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หากต้องการกินติดต่อกันให้กิน 1 เดือนแล้วหยุดสัก 2 สัปดาห์ก่อนค่อยกินใหม่ หรือ หากพบว่ามีอาการอ่อนเพลีย ใจสั่น มือเย็นเท้าเย็น ตาเหลือง ไม่มีแรงให้หยุดกิน


สมุนไพรบำรุงข้อและหัวเข่า

 

หนึ่งในโรคที่สร้างความทรมานและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของคนเราที่พบได้บ่อยมากที่สุดเรื่องหนึ่งเห็นจะไม่พ้นเรื่องอาการปวดข้อและหัวเข่า ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้ทรมานด้วยอาการนี้ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ก็มีพบในคนกลุ่มวัยอื่นด้วยเช่นกันโดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือเป็นโรคประจำตัว หรือแม้แต่ผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อและปวดเข่าได้เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นอาการที่สามารถใช้ยาของแพทย์แผนปัจจุบันรักษาให้หายจากอาการปวดและทรมานได้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการรักษาอาการแบบชั่วคราว ไม่ได้หายขาด หนำซ้ำ ยาส่วนใหญ่ที่ใช้จะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น ปวดท้อง กระเพาะเป็นแผล เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยาสมุนไพรในการช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการเป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งมีผู้ให้ความสนใจ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องอาการปวดได้ดีแล้ว ยังเป็นการบำรุงข้อและหัวเข่า นั่นก็คือการฟื้นฟูสภาพให้ดีขึ้น

สมุนไพรบำรุงข้อและหัวเข่า และแก้อาการเจ็บปวดข้อ มีหลายชนิด อาทิเช่น

  1. เถาวัลย์เปรียง เป็นสมุนไพรที่ช่วยทำให้เส้นเอ็นที่มีอาการปวดตึงเกิดการหย่อน บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายรวมถึง ข้อ และหัวเข่า แก้อาการอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ
  2. ขิง เป็นสมุนไพรที่ดีในการรักษาอาการโรคข้อ และใช้ได้ทั้งกินและพอก การกินนั้นใช้ชงเป็นชาขิงดื่ม เนื่องจากมันมีฤทธิ์ต้านอาการปวดและอักเสบในร่างกาย หรือนำมาตำให้ละเอียดผสมน้ำตาลทรายแดง บีบเอาน้ำทิ้ง เอาแต่กากมาพอกเอาผ้าพันไว้ ช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้เป็นอย่างดี
  3. เถาเอ็นอ่อน เป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้รักษาและบรรเทาอาการปวดเมื่อยและปวดตึงตามข้อและหัวเข่าอีกชนิดหนึ่ง นิยมเอาไปทำลูกประคบ หรือนำมาใช้เป็นผสมในการอบตัวลดอาการปวด หรือเมื่อเกร็ง
  4.  ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่หลายคนอาจจะนึกถึงเรื่องการรักษาโรคกระเพาะ แต่จริงๆ แล้วมันลดอาการโรคข้อได้เป็นอย่างดี มีการทดลองให้ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์รับประทานติดต่อนาน 5 สัปดาห์ อาการดีขึ้นและมีอาการบวมลดลง
  5.  ปลาไหลเผือก หลายคนอาจจะรู้จักสมุนไพรชนิดนี้ในแง่เป็นยาบำรุงเพศชาย แต่จริงๆ แล้วมันยังรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดข้อ ได้อีกด้วย

ยาสมุนไพรเหล่านี้สามารถช่วยบำรุงข้อและหัวเข่าให้มีอาการดีขึ้นได้ และข้อดีของการใช้ยาสมุนไพรก็คือมีผลข้างเคียงและการสะสมของพิษในร่างกายน้อยกว่า และการรักษาเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เน้นการบำรุงดูแล ทำให้ร่างกายโดยรวมมีสุขภาพที่ดีขึ้นตามไปด้วย


หลังการคลอดบุตร เป็นอีกช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นเวลาที่คุณแม่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็ยังคงต้องมีภาระใหญ่หลวง นั่นก็คือ ต้องดูแลลูกน้อยที่พึ่งคลอดใหม่ ดังนั้นเป็นอีกช่วงที่คุณแม่จะต้องพยายามดูแลสุขภาพของตัวเองมากเป็นพิเศษ และนอกเหนือจากเรื่องอาหารการกินที่ต้องครบ 5 หมู่ และเสริมในส่วนที่เหมาะสมและการพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว การดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตรใหม่ ที่นิยมทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณก็คือ การอบสมุนไพร ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ผ่านการพิสูจน์มายาวนานว่าได้ผล มีประโยชน์ต่อคุณ และยังเป็นวิธีที่สะดวกทำเองได้ที่บ้าน

สมุนไพรที่นิยมใช้ในการอบตัวหลังการคลอด จะใช้เป็นชุดซึ่งก็มีอยู่หลายสูตร แต่ตัวยาที่นิยมใช้และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงแพทย์แผนไทยก็คือสูตรที่เข้าตัวยา 17 ชนิด อันประกอบด้วย ว่านชักมดลูก , ไพล , ตะไคร้ , ขมิ้นอ้อย , ขมิ้นชัน , ว่านน้ำ , ว่านมหาเมฆ , ว่านนางคำ , ใบมะกรูด , ผิวมะกรูด , ขิง , ใบหญ้าคา , ใบพลับพลึง , ใบเปล้าหลวง , ใบชะพลู , ใบส้มป่อย หรือ อีกสูตรที่เป็นสูตรกลางบ้านทำง่ายๆ ประกอบด้วยตัวยาสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ ใบมะขาม , หอมหัวแดง , เปลือกส้มโอ , ตะไคร้ และ พิมเสน

วิธีการอบตัว หรือบางทีเรียกว่าการเข้ากระโจม จะหม้อที่ต้มตัวยาสมุนไพรตามสูตรให้เดือด มีไอน้ำร้อนและกลิ่นสมุนไพรลอยขึ้น วางไว้ด้านใต้เก้าอี้ ให้คุณแม่หลังคลอดมานั่งแล้วใช้ผ้าห่มคลุมเอาไว้ หรือ หากเป็นสมัยใหม่หน่อยก็อาจใช้ตู้อบสมุนไพร ที่มีขายอยู่ทั่วไปก็ได้ ให้คุณแม่นั่งอยู่ในนั้นนานประมาณ 15 – 20 นาที ต่อครั้ง วันละ 1 ครั้งต่อวัน ให้ไอน้ำร้อนพาเอาทั้งความร้อนและกลิ่นหอมของสมุนไพรลอยขึ้นมาอบตัว ให้ทำติดต่อกันนาน 7 วัน หลังคลอด หลังจากการอบตัวควรพักสักครู่ให้ร่างกายคลายความร้อนสัก 10 นาที ก่อนอาบน้ำชำระร่างกาย

ข้อดีของการอบสมุนไพร จะทำให้คุณแม่หลังคลอดมดลูกแห้งและเข้าอู่เร็วขึ้น ในเวลาเดียวกันก็จะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว รู้สึกผ่อนคลาย และยังเป็นการช่วยลดน้ำหนักไปในตัวด้วย นับเป็นภูมิปัญญาที่น่าสนใจ

ข้อควรระวัง : ไม่ควรอบตัวนาเกิน 20 นาที เนื่องจากร่างกายจะเกิดความร้อนสูงมากเกินไป และเสียเหงื่อมากการการระบายความร้อนของร่างกาย ทำให้อ่อนเพลีย และอาจถึงขั้นเป็นลมได้หากร่างกายเสียเหงื่อหรือได้รับความร้อนมากเกินไป และควรระวังการถูกน้ำร้อนลวกในเวลาที่เข้าไปอบตัวด้วย


 

การเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อให้มีรูปร่างที่ดี เป็นเรื่องที่คนในปัจจุบันให้ความสนใจกันมาก หนึ่งเกิดจากกระแสรักสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน บวกกับกระแสของสื่อออนไลน์ ที่ผู้คนแข่งกันอวดภาพของตัวเองที่ดูดีให้คนอื่นๆ ได้เห็น มันก็เลยกลายเป็นกระแสนิยมในการลดน้ำหนักเพื่อขจัดส่วนเกินของร่างกายออกไป และหนึ่งในวิธีที่นิยมกันมากก็คือ การใช้ยาสมุนไพรในการลดน้ำหนัก เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่ามีความปลอดภัยมากกว่าการรับประทานยาลดน้ำหนักที่มักมีข่าวในเรื่องผลข้างเคียงทั้งในด้านร่างกายและอารมณ์ เก๋ากี้ ก็เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่มีคนพูดถึงว่ามีประสิทธิภาพสามารถช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักส่วนเกินของร่างกายได้

เก๋ากี้ คือ โกจิเบอร์รี่ ! บางทีเวลาเราพูดถึงชื่อเก๋ากี้ในเรื่องผลไม้ที่มีผลในเรื่องการลดน้ำหนักในปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ แต่หากเรียกใหม่ว่า “โกจิเบอร์รี่” เชื่อว่าหลายๆ คนต้องร้อง “อ๋อ” เพราะมันได้ถูกทำเป็นผลิตภัณฑ์หลายต่อหลายยี่ห้อและถูกโฆษณาทางโทรศัพท์ทำให้ชื่อ โกจิเบอร์รี่ ในฐานะสิ่งที่ช่วยลดน้ำหนักมีคนรู้และคุ้นเคยมากกว่าชื่อ “เก๋ากี้” ซึ่งชื่อหลังจะเป็นที่รู้จักอยู่ในแวดวงคนที่ชอบทำอาหารจีน มีลักษณะเป็นผลไม้แห้งสีแดงๆ ใช้ใส่ในเวลาที่เราทำอาหารแนวต้มหรือตุ๋น เวลาอยู่ในน้ำซุปจะเห็นเป็นเม็ดสีแดงๆ รสออกเปรี้ยวๆ หวานๆ

เก๋ากี้ เป็นสมุนไพรจีนที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นยาบำรุงสุขภาพทำให้ร่างกายแข็งแรง ในปัจจุบันหลังจากที่ Dr.Earl Mindell ได้เผยแพร่งานวิจัยของเขาที่พบว่า เก๋ากี้ มีสรรพคุณช่วยเปลี่ยนอาหารที่เรารับประทานเข้าไปให้กลายเป็นพลังงานที่ร่างกายนำไปใช้ได้ง่ายขึ้น ทำให้การสะสมกลายเป็นไขมันลดลง มันจึงเป็นตัวช่วยในการลดไขมันหรือน้ำหนักส่วนของร่างกายของคนเราได้ นอกจากนั้นแล้วเนื้อของเก๋ากี้ มีปริมาณกากใยที่สูง เมื่อรับประทานเข้าไปทำให้อิ่มอยู่ท้องไม่หิวง่าย ลดความอยากอาหาร และมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย ดังนั้นมันจึงมีประสิทธิภาพในเรื่องการลดน้ำหนัก

เก๋ากี้ที่มีวางจำหน่ายส่วนใหญ่อยู่ในรูปผลไม้แห้ง สามารถนำมารับประทานได้หลายวิธี ทั้งในการนำเอามาเป็นส่วนประกอบของอาหาร นำมาต้มดื่มแบบน้ำชา หรือแม้แต่การนำมาแปรรูปเป็นผลไม้อบแห้งเพื่อเป็นของทานเล่นแบบเดียวกับลูกเกดก็ได้เช่นกัน